วิธีเลือกซื้อ ตู้ RACK แบบไหนดี ให้ดูที่ความต้องการของผู้ใช้ สำหรับอุปกรณ์ ภายในที่จะใส่ในตู้ RACK ว่ามีจำนวนมากแค่ไหน และมีการเลือกความสูงของตู้ให้เหมาะสมกับจำนวนอุปกรณ์ในตู้แร็ค
โดยสำหรับลูกค้าทีใช้ตู้แร็คขนาดเล็ก มีอุปกรณ์ไม่มาก อาจจะเลือกเป็นแบบ Wall Rack เพราะมีราคาประหยัดไม่แพง น้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก
แต่สำหรับลูกค้าทีมีอุปกรณ์ใส่ในตุ้แร็คจำนวนมาก อาจต้องมองเป็น Close rack หรือ Server Rack
Close Rack จะเป็นตู้ขนาดใหญ่ มีขนาดตั้งแต่15u-45u โดยมีลักษณะพิเศษของตู้แร็ค คือเป็นตู้แบบปิด คือฝาประตูหน้าและฝาประตูหลังของตู้แร็ค จะไม่มีรูระบายอากาศ ป้องกันฝุ่นหรือเสียงได้ดี
แต่ก็อาจจะระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่า Server Rack, Curve Rack, Open Rack เพราะมีรูระบายอากาศทีมากกว่า แต่ก็สามารถแก้ได้ โดยการติดพัดลมระบายอากาศเพิ่ม เพราะความร้อนจะลอยขึ้นจาก ที่ต่ำสู่ที่สูง
Server Rack จะเป็นตู้ขนาดใหญ่ มีขนาดตั้งแต่ 15u-45u คล้ายกับ Close Rack แต่ความแตกต่างคือ ประตูฝาหน้าจะมีรูระบายอากาศแบบรังผึ้ง ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่า Close Rack 15u 27u 36u 39u 42u 45u
ทุกขนาดจะมีความลึก ให้เลือก ตั้งแต่ 45 cm 60 cm 80 cm 90 cm 100 cm 110 cm โดยจะมีราคาที่ไม่เท่ากัน แต่การรับประกัน ยาวนานมาก ถึง 10 ปี
Wall Rack จะเป็น ตู้แบบวางผนัง หรือ แขวนผนัง จะเป็นตู้ ขนาดเล็ก ไม่มีล้อ หรือขาตั้ง ทำให้มีน้ำหนักเบา และสามารถ เคลื่อนย้าย ไปที่ต่างๆ ได้ง่าย แต่จะเก็บอุปกรณ์ ได้จำนวนจำกัด ตู้แร็ค ประเภทนี้ จะมีไว้ใส่ อุปกรณ์ จำพวก Switch hub modem cctv กล้องวงจรปิด dvr nas หรือ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล จำพวก hdd sdd ext int ก็สามารถเก็บได้ มีขนาดความสุง ที่ 6u 9u 12u และมีความลึกให้เลือก ตั้งแต่ 40 cm 50 cm 60 cm มีราคาประหยัด แต่รับประกัน ยาวนาน ถึง 10 ปีเช่นกัน
ตู้แร็ก ประเภท open rack เป็นตู้ทีมี เพียง สองเสา เท่านั้น จะรองรับอุปกรณ์ ทีมีน้ำหนักไม่มาก เพราะไม่แข็งแรงเท่า เมื่อเทียบกับ ตู้แร็ค แบบ close rack , server rack, curve rack เพราะมีแค่สองเสา และไม่สามารถ
ป้องกันคนมากดอุปกรณ์ และไม่สามารถ ป้องกันฝุ่นได้ เหมาะเก็บอุปกรณ์ ทีไม่สำคัญมาก ไม่ต้องกลัวการโดนปุ่ม หรือปิดเปิดเครื่องและไม่กลัวฝุ่น แต่ก็มีการรับประกัน ยาวนาน ถึง 10 ปี เช่นกัน